เชื่อมโยงคุณค่าแห่งอดีตกับความสดใหม่ของปัจจุบัน
“ต้องการผสมผสานความร่วมสมัยเข้ากับความเป็นดุสิตเดิมเอาไว้ ตั้งใจว่าอยากจะให้มีความเป็นไทย และตอบโจทย์ในความร่วมสมัยด้วย ซึ่งเป็นจุดที่สำคัญ เพราะเราเป็นโรงแรมห้าดาวแห่งแรก และเป็นตึกที่สูงที่สุดในเมืองไทยที่นำเสนออัตลักษณ์ความเป็นไทยมาตั้งแต่วันแรก เราจึงให้ความสำคัญกับการที่ลูกค้าจะได้สัมผัสกับประสบการณ์ด้านดีไซน์ของสถาปัตยกรรมตั้งแต่ภายนอกถึงภายในตัวโรงแรม” คุณจอยเริ่มต้นกล่าวถึงแนวคิดและแรงบันดาลใจ ซึ่งถือเป็นโจทย์ที่มีทั้งความท้าทายและน่าตื่นเต้นสำหรับทีมงาน การค้นลึกลงไปยังตัวตนและจิตวิญญาณของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ นับตั้งแต่วันเริ่มแรกเปิดให้บริการ กระทั่งกลายเป็นต้นแบบแห่งการโรงแรมในเมืองไทย คือการบ้านที่คุณจอยและทีมงาน รวมถึงบรรดานักออกแบบตกแต่งทุกคน ต่างร่วมกันระดมความคิดสร้างสรรค์ในทุกมิติมุมมอง
ทุกพื้นที่งดงามเปี่ยมความหมาย
ความลงตัวของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ โฉมใหม่ในระดับความสูงถึง 39 ชั้น เผยให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมอันงดงามมากความหมาย แฝงไว้ด้วยอัตลักษณ์ที่สะท้อนตัวตนอันโดดเด่นจากอดีตผ่านสารพันชิ้นงานดีไซน์ ไม่ว่าจะเป็น ‘ยอดเสาสีทอง’ (Golden Spire) สัญลักษณ์เสาทรงแหลมบนยอดตึกที่มองเห็นจากระยะไกล ภายใต้แรงบันดาลใจจากยอดของพระปรางค์ วัดอรุณราชวราราม ผ่านการสร้างสรรค์ยอดเสาใหม่ให้มีลักษณะโปร่งบางมากขึ้น ต้นไม้แห่งความทรงจำ (Trees from Original Dusit Thani Bangkok) ต้นลีลาวดีที่ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ปลูกเองกับมือตั้งแต่ พ.ศ. 2513 ได้รับการโยกย้ายไปดูแลรักษาไว้เป็นอย่างดีที่ดุสิตธานี หัวหิน เมื่ออาคารของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง ต้นไม้แห่งความทรงจำนี้จึงถูกนำกลับมาปลูกไว้ภายในสวนไม้เมืองร้อน ลานน้ำตก (Signature Cascading Waterfall) น้ำตก 9 ชั้น หนึ่งในสัญลักษณ์ที่สร้างความร่มรื่น ตั้งอยู่บริเวณพื้นที่สวนด้านนอกห้องอาหารพาวิลเลี่ยน และห้องอาหารดุสิต กูร์เมต์
ภายในอาคารยังคงไว้ซึ่งความโอ่อ่าของเพดานล็อบบี้ (Signature Lobby’s Ceiling) ฝาขั้นบันไดทรงสี่เหลี่ยมสีทอง ผนังตกแต่ง (Decorative Lobby’s Screens) เส้นโค้งที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก ‘สินเทา’ งานจิตรกรรมฝาผนังแบบดั้งเดิมของไทย ทว่ามีการปรับเปลี่ยนให้เป็นรูปทรงที่ดูคล้ายก้อนเมฆ เพื่อสื่อถึงแนวคิดเรื่องสรวงสวรรค์ สำหรับผืนภาพภายในได้หยิบยกความสวยงามของโครงสร้างฝาเพดานและเสาที่โดดเด่นเป็นอัตลักษณ์ของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ แห่งเดิมมาเป็นแรงบันดาลใจ ซึ่งออกแบบจากผลงานจิตรกรรมรูปสระบัวของ ‘ขรัวอินโข่ง’ ศิลปินชาวไทยชื่อดังในช่วง พ.ศ. 2393 – 2403 เสาเบญจรงค์ (Benjarong Pillars) เสาเอกขนาดใหญ่ 2 ต้นที่อยู่คู่โรงแรมมานานกว่า 50 ปี งามวิจิตรด้วยลวดลายจิตรกรรมไทยโดย ‘ท่านกูฏ’ อาจารย์ไพบูลย์ สุวรรณกูฏ จัดวางโดดเด่นราวกับเป็นงานศิลปะทั้งยังทำหน้าที่เชื่อมโยงรอยต่อแห่งประวัติศาสตร์สู่ปัจจุบัน
ในส่วนของห้องพักมาพร้อมแนวคิดที่ว่าต้องเป็นห้องที่เข้ากับเทรนด์โรงแรมสมัยใหม่ และตอบโจทย์ผู้พัก โดยยังคงไม่ทิ้งตัวตนของดุสิตดั้งเดิม พร้อมหัวใจสำคัญใหม่ นั่นคือการออกแบบให้เป็นห้องที่มี Single Corridor หรือระเบียงด้านเดียว รวมถึง Golden Frame Box ที่ใช้กระจกใสบานใหญ่ไร้รอยต่อ เพื่อให้ทุกห้องเปิดรับวิวเขียวสดชื่นจากสวนลุมพินีได้อย่างเต็มสายตา เมื่อเปิดประตูห้องจะรู้สึกเหมือนกับเป็นกรอบภาพวิวเมืองและสวนสวยงามตรึงตา และชวนประทับใจตั้งแต่แรกเห็น
ทุกห้องพักยังสอดประสานไปด้วยศิลปะไทย ยกตัวอย่างผนังบริเวณหัวเตียง ซึ่งนำลวดลายจากภาพจิตรกรรมของโรงแรมดุสิตเดิมมาลดทอน ก่อนแต่งเติมเพิ่มรายละเอียดลงไปในภาพให้น่าสนใจยิ่งขึ้น ด้วยการปักด้วยดิ้นเงิน ดิ้นทอง และลูกปัด ยังมีการนำ ‘ลายปะกน’ และ ‘ลายลูกฟัก’ มาลดทอนให้ร่วมสมัยเพื่อใช้ตกแต่งบานประตู รวมถึงการใช้สีเขียวเฉดไทยโทนอย่างสีเขียวศิลาดล เพื่อมอบความรู้สึกสงบผ่อนคลาย ตลอดการเข้าพัก ตลอดทั้งยังเชื่อมโยงไปถึงความเขียว ร่มรื่นของสวนลุมพินีที่เป็นวิวของทุกห้องอีกด้วย
นอกจากนี้ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ยังเล่าเรื่องราวความเป็นไทยผ่านผลงานศิลปะของศิลปินไทยทั้งรุ่นเก่าและใหม่ เช่น ภาพวาดบนกำแพงแคนวาสแนว Contemporary Neutral โดยสกล มาลี งานศิลปะบนผ้าและไม้ไผ่ของกาชามาศ กีรติภูมิธรรม เปเรส ฉากหลังตกแต่งล็อบบี้ และลวดลายกราฟิกภายใน โดยธีรวัฒน์ เฑียรประสิทธิ์ และธาริดา นิมมานวุฒิพงษ์ จาก projecttSTUDIO งานประติมากรรมของพงษธัช อ่วยกลาง จาก Dong Sculpture ตลอดถึงภาพวาดต้นลีลาวดีฝีมือนพนันท์ ทันนารี “เราเป็นโรงแรมที่ให้ความสำคัญในเชิงแฟล็กชิพ โดยไม่ได้สะท้อนแค่ความเป็นดุสิตธานี แต่ตั้งใจนำเสนอความเป็นไทยแก่สายตาชาวโลกด้วย ทีมงานมีความตั้งใจที่จะโชว์เคส จิตวิญญาณความเป็นไทยในรูปแบบที่ร่วมสมัย
กล่าวได้ว่า องค์ประกอบทุกส่วนของโรงแรม ดุสิตธานี กรุงเทพ โฉมใหม่ ล้วนมีเป้าหมายสู่การส่งมอบ ความสุขสบาย และผ่อนคลาย ราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์ให้แก่ผู้มาเยือนจากทั่วทุกมุมโลก
Cre: Hello Thailand